จะเข้าฉายในบ้านเราอีกไม่กี่วันแล้ว สำหรับหนังสัญชาติฮ่องกง Thirty Years of Adonis อะดอนีส แรงรักข้ามเวลา ผลงานล่าสุดของ หยุนเสียง หรือที่รู้จักกันในนาม SCUD เจ้าพ่อหนัง LGBT ที่ไม่ว่าหนังเรื่องไหนก็มักจะถ่ายทอดเรื่องราวของคนกลุ่มนี้ออกมาให้แฟนๆ ได้ชมอยู่เสมอ
โดยประเทศไทยเรานับเป็นประเทศที่สองที่นำหนังเรื่องนี้เข้ามาฉาย ซึ่งไต้หวันเป็นชาติแรกที่นำเข้าไปฉายก่อน จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดพอสมควรว่าเหตุใดประเทศของผู้กำกับอย่างฮ่องกงเองถึงไม่นำเข้าไปฉาย
Thirty Years of Adonis อะดอนีส แรงรักข้ามเวลา ว่าด้วยเรื่องราวของ หยางเคอ (เห้อเฟย) นักแสดงชายหนุ่มหน้าตาดีจากโรงงิ้วปักกิ่ง วันหนึ่งเขาได้พบกับโลกที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน หยางเคอได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการค้าประเวณี ดั่งเสมือนผลไม้ต้องห้ามแห่งสวนเอเดน เมื่อเขาได้ลิ้มลองชีวิตของเขาก็ไม่มีวันที่จะหวนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก รีวิวซีรี่ย์เกาหลี
ทั้งชายและหญิงต่างใช้บริการเขา ในขณะที่ร่างกายของหยางเคอถูกย่ำยี จิตใจของเขากลับโหยหารักแท้ที่อยู่ท่ามกลางมรสุมแห่งความเสแสร้งที่พร้อมจะกลืนกินเขาตลอดเวลา
จากที่เห็นจากหน้าหนังก็พอจะทราบดีอยู่แล้วว่ามีการจำกัดเรทคนดู ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการตรวจบัตรประชาชน แต่เอาเข้าจริงภาพในหนังก็ไม่ออกมาในเชิงอนาจารมากนัก อาจเพราะวิธีการเล่าเรื่องที่ไม่ได้มีความหวือหวาหรือมีความรุนแรงมากนัก นอกเสียจากฉากใหญ่ที่ตัวเอกถูกรุมข่มขืน ซึ่งค่อนข้างจะทารุณความรู้สึกผู้ชมพอสมควร
ในส่วนของการเล่าเรื่อง หนังทำออกมาได้ชวนสับสนงุนงง ไม่ประติดประต่อ แถมยังทำให้รู้สึกค่อนข้างรำคาญอีกด้วย การถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดงก็ไม่ได้ทำให้คนดูอย่างรู้สึกคล้อยตามเลย ส่วนฉากเลิฟซีนที่เชื่อว่าหลายคนคาดหวังไว้มากบอกตามตรงว่ารู้สึกเฉยๆ มาก มันดูไม่สมจริง
อย่างไรก็ตาม Thirty Years of Adonis ถือเป็นหนังที่ใช้ร่างกายของนักแสดงได้คุ้มค่า เพราะเล่นเปิดเปลือยให้เห็นแทบทุกส่วนทุกอณู แต่ขนาดว่าเปิดเผยขนาดนี้ยังไม่ทำให้คนดูอย่างเรามีอารมณ์ร่วมได้เลย จนทำให้คิดว่าหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่แนวของเราก็เป็นได้
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือหนังขาดชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง แม้หนังจะพยายามทำให้ดูเหมือนว่ามีสไตล์ของตัวเอง (ที่ส่วนตัวมองว่าดูแล้วจะไม่เข้าท่าเท่าที่ควร) หากเทียบกับหนังไทยอย่าง มะลิลา เรียกว่าทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น ทั้งที่มีการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธเหมือนกัน กลับทำให้เห็นข้อแตกต่างกันอย่างชัดเจน แถมบางฉากยังดูเหมือนถูกยัดเข้ามาจนไม่เข้ากับหนังเลย
แต่สิ่งหนึ่งที่หนังค่อนข้างสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับผู้ชมอย่างเราพอสมควรก็คือ ในส่วนของการฆาตกรรมที่โหดร้าย หากจะบอกว่ามันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวไหมก็อาจจะลงตัว เพราะมีความเชื่อมโยงกับการทารุณทางเพศทำให้หนังดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเดียวกันมากขึ้น และขอนับถือที่ผู้กำกับพยายามยัดเรื่องบุญกรรมแต่ปางก่อนเข้ามาได้ (แม้จะดูไม่ค่อยเข้ากันก็ตามที) เอาเป็นว่าหากใครอยากจะลองก็เสียหาย แต่ไม่ขอการันตีความสนุก
Comments
Post a Comment